Glion โรงแรมในโรงเรียน

ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา การทำงานโรงแรม ถือเป็นอาชีพที่ได้รับความสนใจจากคนรุ่นใหม่เป็นจำนวนมาก มุมมองของคนไทยกับงานโรงแรมต่างออกไปจากอดีตโดยสิ้นเชิง จากที่เคยมองว่า งานโรงแรมเป็นเรื่องน่าอับอาย ไม่เหมาะแม้แต่จะย่างกรายผ่าน โดยเฉพาะกับคุณผู้หญิง แต่ปัจจุบัน งานบริการประเภทนี้กลับกลายเป็นเรื่องโก้หรู ดูเป็นงานที่ต้องอาศัยความรู้ความสามารถ ทั้งทางด้านภาษา การบริหารและบริการอย่างรอบด้าน

โรงเรียนการโรงแรม จึงเป็นที่ใฝ่ฝันของนักเรียนนักศึกษารุ่นใหม่หลายๆ คน ที่ใฝ่ฝันจะได้เข้าไปยึดอาชีพพนักงานโรงแรม หรือ เจ้าของกิจการโรงแรมเล็ก ๆ มีโรงแรมแนวใหม่ที่มักเรียกกันว่า บูติกโฮเต็ล (Boutique Hotel) ของเหล่าผู้ประกอบการ SME เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าโรงแรมใหญ่ๆ หลายดาว และกลับมีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะที่ดึงดูดใจอีกด้วย

กลับมาที่สวิตเซอร์แลนด์คราวนี้ ผมรู้สึกเหมือนได้คืนสู่เหย้าด้วยได้มาเยือน โรงเรียนการโรงแรม ที่ผมเคยได้อาศัยศึกษาหาความรู้ และกินอยู่หลับนอนมาแรมปี แม้เวลาจะล่วงเลยไปหลายปีแล้ว แต่ความทรงจำก็ยังคงอยู่ครบถ้วนกระบวนสวิสมิเสื่อมคลาย

ซอง แองแตร์นาซิอองนาล เดอ กลิยง Centre International de Glion คือโรงเรียนที่ผมเอ่ยถึง ตั้งอยู่บนริมหน้าผาสูงในกลิยง Glion เมืองเล็กๆ บนเนินเขาสูงขึ้นไปจากเมืองมองเทรอซ์ Montreux หันหน้าสู่เวิ้งน้ำแห่งทะเลสาบเลมอง Lac Leman แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดอีกแห่งหนึ่งของประเทศนี้

นอกจาก มองเทรอซ์ แจ๊ส เฟสติวาล (Montreux Jazz Festival) งานดนตรีแจ๊ซชื่อเสียงระดับโลกแล้ว มองเทรอซ์ยังตั้งอยู่บนทำเลชั้นพรีเมียม ทำให้เป็นเมืองตากอากาศระดับไฮเอ็นด์ของเหล่าเซเลบริตี้ และดาราฮอลลีวู้ดมากนัก แต่วันนี้จะยังไม่ขอพูดถึงแหล่งท่องเที่ยวมากนัก เพราะอยากพาเที่ยวชมโรงเรียนการโรงแรมกลิยง ที่ได้ชื่อว่าเป็นโรงเรียนทางด้าน Hospitality Management ติดอันดับ Top 3 ของโลก

เนื่องจากเมืองมองเทรอซ์อยู่ในแถบที่ชาวเมืองใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาสื่อสาร การเรียนการสอนในสมัยที่ผมเรียนมานั้น จึงเป็นภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาหลัก แต่ปัจจุบันมีนักเรียนต่างชาติมาเรียนกันมากขึ้น โดยเฉพาะชาวเอเชีย จึงปรับให้โปรแกรมการเรียนให้มีทั้งภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส

การเรียนการสอนก็จะเน้นทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ กล่าวคือ นักเรียนในแต่ละห้องจะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกจะเรียนภาคทฤษฎีที่มีเนื้อหาตั้งแต่วิชาการบริหารจัดการ (Hotel Management) แผนกต้อนรับ (Front Office) แม่บ้าน (Housekeeping) การออกแบบและเลือกใช้ของตกแต่งโรงแรม (Hotel Design) ตลอดจนวิชาบัญชี (Accounting) ที่มักเป็นไม้เบื่อไม้เมากับนักเรียนไทย เพราะการคิดภาษีต่างๆ แสนซับซ้อนแบบสวิส

ส่วนกลุ่มที่สองก็จะเริ่มเข้าสู่ภาคปฏิบัติ ในกลุ่มนี้จะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อยอีกครั้ง คือ กลุ่มการบริการ (Service) และกลุ่มการครัว (Kitchen) โดยสลับกันกลุ่มละครึ่งภาคเรียน กลุ่มการบริการก็จะเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดโต๊ะรูปแบบของอาหารและงานเลี้ยงต่าง ๆความรู้เกี่ยวกับการใช้ช้อนส้อม จานชาม วิธีปฏิบัติและบริการลูกค้าในห้องอาหารแบบสากลรูมเซอร์วิส (Room Service) ฯลฯ รวมถึงชั่วโมงการศึกษาไวน์ (Wine Testing) ที่หลายคนรอคอย

ส่วนผู้ที่ชอบทำอาหารก็จะสนใจเรื่องการครัวเป็นพิเศษ เริ่มจากช่วงเช้าจะเข้าห้องเรียนทฤษฎีที่เรียนรู้การใช้อุปกรณ์ห้องครัว ทั้ง ครัวอาหารร้อน (Hot Kitchen) ครัวอาหารเย็น (Cold Kitchen) ห้องทำขนมหวาน (Pastry) และห้องทำขนมปัง (Bakery) โดยเชฟผู้เป็นอาจารย์จะแบ่งแผนกให้แต่ละคนเข้าปฏิบัติจริง หมุนเปลี่ยนเวียนกันไปจนครบ

นอกจากนี้ ทฤษฎีการครัวในช่วงเช้าของแต่ละวันยังต้องศึกษาเมนูประจำวันที่จะต้องปรุงอาหารให้คนทั้งโรงเรียนได้รับประทานกันตลอดทั้งวัน รวมถึงเพื่อนร่วมห้องที่เรียนภาคทฤษฎีทางด้านวิชาการอยู่ควบคู่กันไปด้วย

บรรยากาศใน โรงเรียนการโรงแรม ก็เหมือนกับโรงแรมระดับ 5 ดาว ทั่วไป ที่นักเรียนจะต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยด้วยชุดสูทผูกไทตลอดเวลาที่อยู่ในบริเวณส่วนรวม โดยเฉพาะเวลารับประทานอาหารที่ต้องแต่งตัวเรียบร้อย เพื่อเป็นการให้เกียรติกับเพื่อนๆ ที่กำลังปฏิบัติงานคอยบริการเรา แม้แต่วันสุดสัปดาห์ที่เราอยู่ในโรงเรียนก็ตาม จะยกเว้นก็เพียงห้องนั่งเล่นสำหรับดูโทรทัศน์และบาร์ในโรงเรียนที่สามารถแต่งตัวลำลองได้

การให้ความสำคัญในเรื่องระเบียบวินัย การเคารพต่อผู้อื่น รวมถึงระบบการศึกษาแบบมืออาชีพ ทำให้สวิตเซอร์แลนด์ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งที่มี โรงเรียนการโรงแรมที่ดีที่สุดในโลก

นอกจาก Glion กลิยงแล้ว โรงเรียนการโรงแรมแห่งเมืองโลซานน์ (Ecole Hoteliere de Lausanne) ก็เป็นอีกโรงเรียนหนึ่งที่มีดีกรีสูสีกัน โรงเรียนนี้มีขนาดใหญ่กว่ากลิยงสามเท่า ประกอบไปด้วยนักเรียนกว่าสองพันคน ตั้งอยู่ชานเมืองเล็กน้อย แม้ทำเลจะไม่สวยงามเท่ากลิยงที่ผมเคยเรียนอยู่ แต่ภายในโรงเรียนก็โอ่อ่าหรูหราไม่แพ้กัน

การเล่าเรียนก็ไม่แตกต่างกันนัก โดยพื้นฐานแล้วก็คือระบบแบบแผนเดียวกัน ระบบการศึกษาสวิสเน้นให้ผู้เรียนศึกษาในสายอาชีพที่ตนเองชอบและถนัด โดยมีใบประกาศนียบัตรขั้นต่างกันไป แต่ก็ไม่ได้เน้นว่าจะต้องมีใบประกาศนียบัตรระดับสูงๆ อย่างที่บ้านเรานิยมกัน แต่สำหรับโรงเรียนการโรงแรมที่มีนักเรียนต่างชาติจากเอเชียมากขึ้น ปัจจุบันโรงเรียนต่างๆ เริ่มหันมาเทียบวุฒิระดับปริญญาตรีกันมาก ต่างจากสมัยก่อนเมื่อจบการศึกษาแล้ว ก็จะได้รับประกาศนียบัตรระดับสูงหรือ  Dipomat ที่ถือว่าสูงสุดสำหรับการศึกษาทางด้านนี้แล้ว

จะเห็นว่านอกจากจะต้องมีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับโรงแรมรอบด้าน ภาษาต่างประเทศก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งใน การทำงานโรงแรม ที่เกี่ยวเนื่องกับชาวต่างชาติทั้งนักท่องเที่ยวและผู้ที่มาพักเพื่อติดต่อธุรกิจการงาน ยิ่งหากได้ภาษาที่สามที่สี่ก็ยิ่งทำให้การทำงานได้เจริญก้าวหน้าไปไกลกว่าใคร

การเรียนการสอนที่หลากหลายของโฮเต็ล เมเนจเม้นท์ ทำให้งานไม่ได้จำกัดเพียงในโรงแรมเท่านั้น ยังรวมถึงงานบริการด้านอื่นๆ ทั้งห้องอาหาร งานรับจัดงานเลี้ยง งานอีเว้นต์ต่าง ๆ งานบนเรือสำราญ งานสวนสนุก งานสายบิน แม้กระทั่งงานในวงการอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบโรงแรม การเงิน และงานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งล้วนพิสูจน์มาแล้วจากบรรดาศิษย์เก่าการโรงแรมในสวิสทั้งหลาย ที่กระจายอยู่ทุกภาคส่วนงานในระดับอินเตอนร์เนชั่นแนลทั่วทุกมุมโลก

การจำลองบรรยากาศโรงแรมให้อยู่ในโรงเรียนแบบสวิสจึงได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายและกลายเป็นต้นแบบของ โรงเรียนการโรงแรม ทั่วโลกอยู่ในขณะนี้

ขอขอบคุณ:  บทความจาก คุณสุพจน์ โล่ห์สมบัติ  คอลัมนิสต์ชื่อดัง ศิษย์เก่าการโรงแรม Glion ตีพิพม์ ใน SME Thailand Magazine ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2557