• การศึกษาในประเทศอเมริกาเป็นที่ยอมรับจากบริษัท และคนทั่วโลก
  • มหาลัยในอเมริกา มีจำนวนมาก เกณฑ์การรับเข้าศึกษาต่อไม่ยากจนเกินไปโดยมากใช้แค่ผลการสอบTOFEL,GMAT,GRE
  • การศึกษาต่อมหาวิทยาลัยในประเทศอเมริกาไม่มีการแบ่งสายการรับเข้าซึ่งก็คือว่าเด็กสายศิลป์ก็สามารถเข้าเรียนคณะแพทยศาสตร์ได้ ซึ่งถ้าสามารถสอบเข้าได้และมีความสามรถเรียนจนจบ
  • การศึกษาต่ออเมริกา ในระดับปริญญาตรี,โท,เอก มีทุนการศึกษาช่วยเหลือกนักศึกษามากมายไม่ว่าจะเป็น
  • ทุนลดค่าเล่าเรียน ทุนค่าครองชีพ หรือถ้าขอทุนไม่ได้ก็มีสิทธิ์ที่จะกู้เงินเพื่อมาศึกษาก่อน

การสมัครเรียนต่อที่อเมริกา เรื่องการบริหารเวลาสำหรับเตรียมตัวสมัครเรียนเป็นสิ่งสำคัญมาก ควรเตรียมตัวก่อนจะไปเรียนอย่างน้อย 12 เดือน เราควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า มหาวิทยาลัยที่อยากสมัครนั้น แบ่งภาคการศึกษาอย่างไร และมีกำหนดการพร้อมทั้งเงื่อนไขในการรับสมัครนักเรียนต่างชาติอย่างไรบ้าง ผู้สมัครจึงต้องรอบคอบให้มากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่ยื่นใบสมัครเรียนไปยังหลายมหาวิทยาลัย เนื่องจากแต่ละมหาวิทยาลัยจะมีกำหนดการที่ไม่ตรงกัน
นอกจากนี้ อย่าลืมเผื่อเวลาสำหรับการเตรียมตัวสอบวัดความรู้ต่าง ๆ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นการสอบ TOEFL และการสอบ GRE หรือ GMAT ระยะเวลาที่รอผลสอบ รวมทั้งการส่งเอกสารสำคัญต่าง ๆ ที่อาจกินเวลาเดินทางเป็นเดือนกว่าจะไปถึงมหาวิทยาลัยที่เราสมัครอีกด้วย


ข้อมูลทางด้านภูมิศาสตร์
สหรัฐอเมริกามีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลติดต่อกัน 48 มลรัฐ ทิศเหนือจรดประเทศแคนาดา ทิศใต้จรดประเทศเม็กซิโกและอ่าวเม็กซิโก ทิศตะวันตกจรดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิคทางตะวันตก ทิศตะวันออกจรดชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก มลรัฐที่ 49 คือ อลาสกา อยู่ติดกับฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของแคนาดาและมลรัฐ ที่ 50 คือ ฮาวาย อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิค

ข้อมูลทางด้านสภาพภูมิอากาศ
สหรัฐอเมริกามีสภาพภูมิอากาศที่ค่อนข้างหลากหลายและแตกต่างกันไปแต่ละเขต เนื่องจากภูมิประเทศที่กว้างใหญ่ โดยทั่วไปแล้วประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีสภาพอากาศค่อนข้างเย็นกว่าประเทศไทย

ข้อมูลทางด้านประชากรและภาษา
ประชากรโดยรวมของสหรัฐอเมริกา มีอยู่ประมาณ 292 ล้านคน

เวลา
มีการจัดแบ่งเวลาออกเป็น 4 โซน ดังนี้
Eastern Time Zone (EST) เวลาช้ากว่าประเทศไทย 12 ชั่วโมง แต่ในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน จะมีการปรับเลื่อนเวลาเร็วขึ้น 1 ชั่วโมงเรียกว่า Daylight Saving Time ทำให้เวลาช้ากว่าประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 13 ชั่วโมง เมืองที่อยู่ในเขตนี้ ได้แก่ Boston, New York, Washington D.C., Miami, and Cleveland
Central Time Zone (CTZ) เวลาช้ากว่าประเทศไทย 13 ชั่วแต่ในช่วง Daylight Saving Time ทำให้เวลาช้ากว่าประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 14 ชั่วโมง เมืองที่อยู่ในเขตนี้ ได้แก่ Chicago, New Orleans
Mountain Time Zone (MTZ)  เวลาช้ากว่าประเทศไทย14 ชั่วโมงแต่ในช่วง Daylight Saving Time ทำให้เวลาช้ากว่าประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 14 ชั่วโมง เมืองที่อยู่ในเขตนี้ ได้แก่ Denver, Phoenix
Pacific Time Zone (PTZ) เวลาช้ากว่าประเทศไทย 15 ชั่วโมงแต่ในช่วง Daylight Saving Time ทำให้เวลาช้ากว่าประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 16 ชั่วโมง เมืองที่อยู่ในเขตนี้ ได้แก่ San Francisco, Seattle, Hawaii

ระบบการศึกษา
ประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่มีระบบการศึกษาหรือหลักสูตรการศึกษาในระดับประเทศ ในแต่ละรัฐ จะมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่คล้ายกับกระทรวงศึกษาธิการของตนเอง การศึกษาภาคบังคับ ของประเทศสหรัฐอเมริกาคือระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (Grade 12)

  • โรงเรียนประถมศึกษา / มัธยมศึกษา ( Elementary Schools)เป็นการศึกษาภาคบังคับ คือ ชั้น Grade 1 Grade 6 หรืออายุ 1 6 ขวบ
  • โรงเรียนมัธยมศึกษา (Secondary school)เป็นการศึกษาภาคบังคับสำหรับเด็กอายุ 12 18 ปี หรือ มัธยมศึกษาปีที่ 1 6 โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ Grade 7 และ Grade 8 เท่ากับช่วงมัธยมศึกษาตอนต้น (Junior High Schools) และ Grade 9 ถึง Grade 12 เท่ากับมัธยมศึกษาตอนปลาย (Senior High Schools)นักศึกษาต่างชาติส่วนใหญ่จะเข้าเรียนกับโรงเรียนประจำของเอกชน (Broading school) เพราะโรงเรียนรัฐบาลไม่สามารถจัดหาที่พักให้ได้
  • วิทยาลัยอาชีวศึกษา (Technical and Vocational Schools)สถาบันที่เปิดสอนหลักสูตรเกี่ยวกับวิชาชีพสาขาต่างๆ โดยผู้ที่จะศึกษาต่อด้านนี้จะต้องจบมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว หน่วยกิตที่เรียนจากสถาบันประเภทนี้จะโอนเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย”มหาวิทยาลัยได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสถาบัน
  • วิทยาลัยและมหาวิทยาลัย (College and University) เปิดสอนในระดับปริญญา แบ่งออกเป็น 4 ระดับ คือ Associates Degree หรือ อนุปริญญา Bachelors Degree หรือ ปริญญาตรี ใช้เวลาในการศึกษารวม 4 ปี Masters Degree หรือ ปริญญาโท ใช้เวลาในการศึกษา 1.5 2 ปี (หลักสูตรด้านกฎหมาย 1 ปี) Doctorate Degree หรือ ปริญญาเอก ใช้เวลาในการเรียน 3 4 ปี ซึ่งนอกจากนี้ยังมีระดับ Postdoctoralซึ่งเน้นด้านการวิจัยหลังสำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาเอกแล้วด้วย
  • สถาบันเทคโนโลยี (Institute of Technology) เปิดสอนในระดับปริญญาตรีขึ้นไปเหมือนมหาวิทยาลัย แต่จะเน้นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากกว่า
  • สถาบันการศึกษาด้านวิชาชีพชั้นสูง (ProfessionalSchool)เป็นการศึกษาในลักษณะพิเศษ ในบางสาขาอาชีพเท่านั้น ซึ่งระบบค่อนข้างซับซ้อนสามารถสรุปได้ ดังนี้

1. การศึกษาระดับ First Professional Degree ด้านแพทย์ศาสตร์ ทันตกรรม และสัตวบาล
2. สถาบันสอนภาษา (Language Schools)

  • วิทยาลัย วิทยาลัยส่วนใหญ่ต้องการนักศึกษาที่มีเกรดเฉลี่ย 2.0 ขึ้นไป และคะแนน TOEFL 450-500 ขึ้นไป
  • มหาวิทยาลัย สำหรับปริญญาตรี สถาบันส่วนใหญ่ต้องการนักศึกษาที่มีเกรดเฉลี่ย 2.5 ขึ้นไป และ TOEFL 500 ขึ้นไป ปริญญาโท และเอก เกรดเฉลี่ย 3.0 ขึ้นไป และคะแนน TOEFL ไม่ต่ำกว่า 500 นักศึกษาที่จะสมัครในโปรแกรม MBA ส่วนใหญ่จะต้องใช้คะแนน GMAT ซึ่งจะนำมาคำนวณกับเกรดเฉลี่ยปริญญาตรี ส่วนนักศึกษาที่สมัครปริญญาโทและเอกในสาขาอื่นๆ ส่วนใหญ่จะต้องสอบ GRE (Graduate Record Examination)
  • ปีการศึกษา ปีการศึกษาในสหรัฐอเมริกา (Academic Year) จะเริ่ม ประมาณเดือนกันยายนถึงพฤษภาคม ซึ่งมีกำหนดภาคเรียนแตกต่างกันออกไปดังนี้

ระบบ Semester เป็นระบบที่นิยมใช้มากที่สุด ในระยะเวลาหนึ่งปีจะประกอบด้วย 2 Semesters และ 1-2 Summer Sessions แต่ละ Semester ยาวประมาณ 16 สัปดาห์ ดังนี้ Fall Semester เปิดประมาณปลายสิงหาคม กลางธันวาคม
Spring Semester เปิดประมาณต้นมกราคม – เมษายน ( บางครั้งSummer Session จะแบ่งครึ่งเป็น 2 ช่วงสั้น )
Summer Session เปิดประมาณกลางพฤษภาคม สิงหาคม
ระบบ Quarterในหนึ่งปีแบ่งออกเป็น 4 Quarter แต่ละ Quarter ใช้เวลาเรียนประมาณ 10 สัปดาห์ ดังนี้
Fall Quarter เปิดประมาณกลางกันยายน ธันวาคม
Winter Quarter เปิดประมาณมกราคม กลางมีนาคม
Spring Quarter เปิดประมาณต้นเมษายน กลางมิถุนายน
Summer Quarter เปิดประมาณกลางมิถุนายน- สิงหาคม
ระบบ Trimesterใน 1 ปี แบ่งภาคการศึกษาดังนี้
First Trimester เปิดประมาณกันยายน ธันวาคม
Second Trimester เปิดประมาณมกราคม เมษายน
Third Trimester เปิดประมาณพฤษภาคม สิงหาคม
ระบบ 4-1-4เป็นระบบใหม่ที่ใช้ในสถานศึกษาราว 8% ในสหรัฐอเมริกาแบ่งปีการศึกษาออกเป็น 2 ภาคใหญ่ คั่นด้วยภาคเรียนสั้นๆ ที่เรียกว่า Interim เพื่อให้นักศึกษาไปทำการค้นคว้าด้วยตนเอง หรือออก Field Trip แบ่งภาคเรียน ดังนี้
Fall Semester เปิดประมาณปลายสิงหาคม ธันวาคม
Interim เปิดประมาณเดือนมกราคม (1 เดือน)
Spring Semester เปิดประมาณเดือนกุมภาพันธ์ พฤษภาคม
ค่าเล่าเรียน 200,000 – 500,000 บาท/ปี (ขึ้นอยู่กับสถาบัน)
ค่าครองชีพ 500,000 บาท/ปี (เป็นอย่างต่ำ)

ทำงานพิเศษ
สำหรับนักศึกษาที่มาศึกษาในอเมริกานั้น แต่จะมีข้อกำหนดว่าห้ามทำงานเกินกว่า 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ถ้านักศึกษากำลังศึกษาอยู่แบบเต็มเวลา จึงทำให้นักศึกษาส่วนใหญ่มักจะทำงานในมหาวิทยาลัยของตัวเอง

หอพักนักศึกษา
โดยส่วนใหญ่แล้ว วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกา จะมีบริการด้านที่พักสำหรับนักศึกษา หรือหอพักนั่นเอง ซึ่งส่วนจะเป็นห้องพักสำหรับนักศึกษาโสด และอยู่ภายในหรือใกล้เคียงกับวิทยาเขต

วีซ่านักศึกษา
วีซ่านักเรียนนักศึกษาอเมริกา ใช้สำหรับเดินทางเข้าอเมริกา เพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษาแบบเต็มเวลา วีซ่าชนิดนี้ มีชื่อเรียกตามสถานทูตอเมริกาว่า วีซ่านักเรียนF1 ซึ่งเป็นหนึ่งในวีซ่าอเมริกา ประเภทชั่วคราว หรือ non-immigration visa ซึ่งนักเรียนที่สนใจไป เรียนต่ออเมริกา  ควรต้องศึกษาให้เข้าใจถึงหลักเกณฑ์ในการยื่นขอ วีซ่านักเรียนอเมริกา ชนิดนี้ เพื่อจะได้ประสบความสำเร็จในการยื่นวีซ่า และการสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่สถานทูต

ขั้นตอนการขอวีซ่านักเรียนอเมริกา (F-1 Student Visa)
1.) หนังสือเดินทาง (Passport)
2.) รูปถ่ายสี พื้นหลังขาว ขนาด 5×5 เซนติเมตร เห็นใบหู ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน 1 รูป
3.) เอกสารอื่นๆ เพื่อใช้ประกอบการยื่นวีซ่านักเรียนอเมริกา เช่น หลักฐานการศึกษา หลักฐานการทำงาน หลักฐานทางการเงิน
อัตราค่าใช้จ่ายสำหรับการไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา อาจจัดอยู่ในระดับ ที่ค่อนข้างสูงหรือปานกลาง ขึ้นอยู่กับสถาบันการศึกษา เมืองและรัฐ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาบันการศึกษา รูปแบบการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล ซึ่งส่วนใหญ่จะมีความแตกต่างกัน แต่โดยทั่วไปแล้ว สถาบันการศึกษา ที่มีชื่อเสียงมากกว่า มักมีอัตราค่าเล่าเรียนที่สูงกว่า และเมืองที่มีขนาดใหญ่กว่า มักมีอัตราค่าครองชีพที่สูงกว่าเช่นกัน

10 อันดับโรงเรียนกฎหมายที่ดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา
1.มหาวิทยาลัยเยล ชื่อเต็ม :  โรงเรียนกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยเยล (YaleLawSchool)
2. มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ชื่อเต็ม :  โรงเรียนกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด  (StanfordLawSchool)
3. มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดชื่อเต็ม :  โรงเรียนกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด  (HarvardLawSchool)
4. มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ชื่อเต็ม :  โรงเรียนกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (ColumbiaLawSchool)
5. มหาวิทยาลัยชิคาโก ชื่อเต็ม : โรงเรียนกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก (University of Chicago Law School)
6. มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ชื่อเต็ม :  โรงเรียนกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (NYULawSchool)
7. มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์กลีย์ชื่อเต็ม :  โรงเรียกฎหมายเบิร์กลีย์  (BerkeleyLawSchool)
8. มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียชื่อเต็ม :  โรงเรียนกฎหมายเพนน์  (PennLawSchool)
9. มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ชื่อเต็ม :  โรงเรียนกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย  (University of Virginia School of Law)
10. มหาวิทยาลัยมิชิแกน วิทยาเขตแอน อาร์เบอร์ ชื่อเต็ม : โรงเรียนกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกน
(University of Michigan Law School)

10 อันดับ โรงเรียนวารสารศาสตร์ในสหรัฐอเมริกา
1. Columbia University (มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย)
– มหาวิทยาลัยแรกที่มีการให้ปริญญาระดับปริญญาโทด้านวารสารศาสตร์ในสหรัฐอเมริกา
2. Indiana University – Bloomington (มหาวิทยาลัยอินเดียนา บลูมมิงตัน)
– Ernie Pyle นักวิชาการผู้สร้างชื่อเสียงด้านวารสารศาสตร์ให้แก่มหาวิทยาลัย
3. Northwestern University (มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น)
– มีหลักสูตรด้านวารสารศาสตร์โลกในระดับบัณฑิตศึกษา
4. Ohio University (มหาวิทยาลัยโอไฮโอ)
– มีศิษย์เก่าได้รับชัยชนะในรางวัล Pulitzer Prize (เปรียบได้กับโนเบลด้านวารสารศาสตร์และนิเทศศาสตร์) ถึง 13 คน
5. Syracuse University (มหาวิทยาลัยซีราคิวส์)
– โรงเรียนวารสารศาสตร์ที่ตอบรับนักเรียนเข้าเรียนเพียงแค่ 9 %
6. University of California at Berkeley (มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์)
– มีศูนย์ฝึกด้านสื่อดิจิตอลที่มหาวิทยาลัย
7. University of Florida (มหาวิทยาลัยฟลอริดา)
– มหาวิทยาลัยยอดเยี่ยมอันดับที่ 2 ด้านวารสารศาสตร์ระดับปริญญาตรีในสหรัฐอเมริกา
8. University of Maryland – College Park (มหาวิทยาลัยแมริแลนด์ คอลเลจพาร์ก)
– คณาจารย์ของคณะวารสารศาสตร์ของมหาวิทยาลัยได้รับรางวัล Pulitzer Prize
9. University of Missouri – Columbia  (มหาวิทยาลัยมิสซูรี โคลัมเบีย)
– โรงเรียนด้านวารสารศาสตร์แห่งแรกของโลก
10. University of North Carolina at Chapel Hill (มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา แชเปิลฮิลล์)
– มีหลักสูตรพิเศษด้านวารสารศาสตร์วิทยาศาสตร์และการแพทย์

รายชื่อสถาบันสอนภาษาและมหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพในการเรียนต่ออเมริกา
1.SanDiegoStateUniversity
2.California State University, Longbeach
3.California State University, EastBay
4.HultBusinessSchool
5.GoldenGateUniversity
6.LincolnUniversity
7.De Anza Community College
8.TacomaCommunity College
9.WhatcomCommunity College
10.Cal America Institute
11.Intrax International Institute
12.Geos Language School
13.Zoni Language School
14.St. Giles International School
15.AmericanAcademy of English
16.LASC